ภาวะ
‘กะเทยกลายเป็นสินค้า’
ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเปิดดูโทรทัศน์
อ่านหนังสือพิมพ์หรือแม้แต่คุยกับเพื่อนรอบข้างก็หนีไม่พ้นที่จะต้องรับรู้เรื่องราวของ
“กะเทย”
ในหลายพื้นที่อาทิ
ละครหลังข่าว
เกมส์โชว์ทั้งในบทบาทของผู้ร่วมรายการและพิธีกร รายการทอล์คโชว์
ข่าวคราวทางหน้าหนังสือพิมพ์และในนิตยสารฯลฯ
ทำให้เป็นที่น่าแปลกใจว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่ปีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์และนโยบายกีดกัน
“กะเทย”
อย่างรุนแรง
บ้างไม่ให้เสนอภาพลักษณ์
“กะเทย”
ทางสื่อโทรทัศน์
บ้างไม่ให้เข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษา
บ้างไม่ให้ทำประกันชีวิต
และอีกหลายกรณีที่กีดกันภายใต้ภาพลักษณ์ตายตัวที่ว่า
“ขัดต่อหลักธรรมชาติไม่ใช่วัฒนธรรมที่งดงาม
เป็นพวกที่ผิดปกติทางเพศเสียความเป็นเพศ
ทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจในความสำส่อนและหมกมุ่นเรื่องเพศไม่เคยมีรักแท้
ทำตัวตุ้งติ้งกระแดะไปตามแฟชั่นทั้งยังมีอารมณ์รุนแรงชอบก่อคดีฆาตรกรรม
เป็นผู้ชายสีม่วงเพื่อสนองคนเที่ยวคน”
เป็นต้น
แต่ทำไมทุกวันนี้เรื่องราวชีวิตของ
“กะเทย”
ถูกตีแผ่ออกมาหลายแง่มุมจนน่าตกใจว่า
‘มีการเมืองอะไรแฝงอยู่อีกหรือไม่’
จุดหนึ่งที่ตั้งข้อสังเกตได้คือไม่ว่าประเด็นใดก็ต้องมีทั้งทัศนคติเชิงบวกและลบควบคู่กันไปเสมอ
ดังนั้นก็หนีไม่พ้นประเด็น
“กะเทย”
ที่กำลังครึกโครมและขายได้อยู่ในขณะนี้จึงมีทั้งฝ่ายที่พยายามเปิดใจและบางฝ่ายที่ยังไม่ยอมรับ
ในกรณีของ “กะเทย”
ที่แต่งกายด้วยชุดนักศึกษาหญิงไปเรียนในมหาวิทยาลัย
‘พื้นที่ของปัญญาชนที่เปิดกว้าง’
ก็ยังมีคนใจไม่กว้างพอจะ
‘อดทน’
กับเรื่องของการแต่งกาย
ไม่ว่าจะพกพาสมองและสติปัญญามาเข้าชั้นเรียนมากเพียงใด
“กะเทย”
ก็ต้องถูกกดให้ต่ำกว่านักศึกษาหญิงชายที่ไม่ใส่ใจมาเข้าเรียน
เป็นที่น่าสนใจว่า
“กะเทย” ก็ ‘แต่งหญิง’
ไปเรียนกันได้ทุกวันมาเป็นเวลานาน
หลายคนแต่งหญิงไปเรียนแล้วสำเร็จการศึกษาได้เกียรตินิยมออกจากมหาวิทยาลัยจนไปดิ้นรนกับแรงบีบของสังคมภายนอกแล้วก็ไม่ใช่น้อย
พอมีกระแสข่าว
“กะเทย”
ครึกโครมขึ้นมา
การแต่งหญิงเพิ่งจะมาเป็นประเด็นวิพากษ์ในปีนี้
ในขณะที่อีกข่าวหนึ่งซึ่งกำลังร้อนคือการที่
“กะเทย”
ได้ครอบครองตำแหน่ง
‘นางงามระดับสากล’
ทำเอาเจ้าตัวยังตื่นตะลึงไม่หายกับสถานภาพที่เปลี่ยนไปจาก
‘ชายขอบมาสู่กระแสหลัก’
ได้รับความเป็นพวกเดียวกันกับชาวไทยทั้งชาติเพียงชั่วข้ามคืนทั้งที่
20
กว่าปีที่ผ่านมาต้องกล้ำกลืนฝืนทนกับคำดูแคลนแทบขาดใจ
พื้นที่ใดก็คงไม่ตื่นตาตื่นใจเท่ากับบทบาทนักแสดงที่
“กะเทย”
ได้เปิดพื้นที่จอเงินมาเมื่อประมาณ
2 ปีก่อน จากนั้นก็ตามมาด้วยเรื่องราวชีวิตของ
“กะเทย”
ที่เป็นละครทางจอแก้ว
แต่มาปีนี้มีให้ได้เรียนรู้จักชีวิต
“กะเทย”
ในงานอาชีพทั้งที่มีให้เห็นได้ในชีวิตประจำวันและที่ดึง
“กะเทย”
ไปโยงกับบางอาชีพที่สถาบันนั้นไม่น่าจะเห็นพวกเธอไป
‘ออกสาว’
เริงรื่นกันได้
นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มจะเห็น
“กะเทย”
ในจอเงินจอแก้วตามกันมาอีกเป็นขบวนรถด่วน
“กะเทย”
หลายคนคงยินดีปรีดากับปรากฎการณ์ดังกล่าวและตีความไปแล้วว่าสังคมยอมรับให้อยู่ร่วมได้เทียบเท่าชายหญิง
ในที่นี้จึงใคร่จะขอเตือนว่าอย่ามองสังคมไทย
‘โรแมนติก’
ขนาดนั้น
เพราะบางทีท่านอาจจะกำลังถูกทำให้เป็นสินค้าเพื่อขาย
พอใช้กันจนทั่วแล้วก็ถูกทิ้งขว้างสุดท้ายก็ถูกลืมแล้วก็ต้องมาเรียกร้องการมี
‘ตัวตน’
กันอีก
อะไรคือการทำ
“กะเทย”
ให้เป็นสินค้า
ก็ลองพินิจดูให้ดีซิว่าเรื่องราวของ
“กะเทย”
ถูกตีแผ่ภายใต้ฐานคิดอะไร
ตอบได้ง่ายๆเลยว่าภายใต้แนวคิดเรื่อง
‘ความแปลก’
นั่นเอง
จุดขายของสินค้าในสังคมทุนนิยมอยู่ที่ความแปลกใหม่
แม้ “กะเทย”
จะไม่ใช่สิ่งใหม่ของสังคมไทยแต่เรื่องราวของ
“กะทย”
กลับถูกโยงเข้าไปกับประเด็นที่
‘แปลก’
ตัวอย่างเช่นละครเรื่องหนึ่งที่เลือกนักแสดงชายมีรูปร่างไม่เข้าข่าย
“กะเทย”
มาแต่งตัวเป็น
‘สาว’
แล้วยื่นบทหวานละมุนให้เล่นภายใต้จริตกริยาแบบ
‘ผู้หญิงดี’
ทำไมไม่เลือกหา
“กะเทย”
ที่สวยและมีความสามารถสักคนมารับบทบาทที่เข้ากับชีวิตจริงของเธอหากจะเผยแพร่ให้สังคมได้รับรู้ว่า
“กะเทย”
ไม่ใช่ดีแต่
“11รด.”
ในเรื่องดังกล่าวจะดึงเอา
“กะเทย”
มารับบทก็เป็นได้แค่เพียงแต่ตัวรอง
ในทำนองเดียวกันละครอีกเรื่องในอีกสถานีที่กำลังฮอตมากขณะนี้ก็ใช้
‘ผู้หญิง’
มาแสดงในบทที่ต้องปลอมแปลงตัวตนมาเป็น
“กะเทย”
เพราะความจำเป็น
แม้จะเปิดพื้นที่ให้
“กะเทย”
ได้ร่วมแสดงจำนวนมากขึ้นแต่มายาแห่งการละครก็ทำให้
“กะเทย”
ต้องบีบเค้นเอาความสามารถมาใช้ให้มีบทบาทตรงตาม
‘คาเรคเตอร์’
ที่ผู้กำกับต้องการเช่น
“กะเทย”ที่ได้รับบทเด่นๆเป็น
‘คนดี’
ที่สะท้อนภาพ
‘ผู้หญิงดี’
มาอีกทอดหนึ่งก็จะต้องละมุนละม่อมเปี่ยมไปด้วยวุฒิภาวะและเป็นผู้ไกล่เกลี่ยสถานการณ์คับขันได้อยู่เสมอ
ส่วน “กะเทย”
ตัวประกอบยังไม่แคล้วจะต้อง
“โป๊ะแตก”
มือไม้สะบัดสะบิ้งเปล่งเสียงใหญ่ขึ้นจมูกวิ่งดิ๊กๆกรี๊ดกร๊าดไปมาแลกเสียงฮาจากผู้ชม
ทั้งที่ “กะเทย”
ในชีวิตประจำวันพบเห็นทั่วไปก็ไม่ใช่จะมีแต่ภาพลักษณ์อย่างนั้น
หนำซ้ำในช่วงที่นางเอกสวมบทที่แสดง
‘ความเป็นหญิง’
ประเด็นทางสังคมเชื่อมโยงกับปัญหาชีวิตทั้งของตนเองและความพยายามหาทางช่วยเพื่อนแสดงผ่านการใช้หัวสมองครุ่นคิดแก้ไข
แต่เมื่อใดที่นางเอกแสร้งทำเป็น
“กะเทย”
ขึ้นมาละก็น้ำเสียงจะถูกหนีบให้แหลม
แต่งหน้าเข้มจัด
ยัดหน้าอกจนเกินจริง
แม้แต่พระเอกเองยังไม่เคยอ่อนโยนกับเธอเลย ต้องให้ ‘ความจริง’
ปรากฎว่าเธอคือ
‘หญิง’
ปลอมตัวมาความรักจึงจะเกิด
เข้าทำนองเดียวกับที่ก่อนหน้านี้ก็มีละครเกี่ยวกับ
“ความเป็นหญิงชายที่จริงไม่จริงแท้ไม่แท้”
ผูกความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับนางเอกไว้ให้
‘กะเทยอยู่ได้ถ้าไม่ทลายความสัมพันธ์แบบชายหญิง’
เช่นกัน
ตัวอย่างเหล่านี้ชี้ให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า
‘ความเป็นตัวตนของกะเทยถูกหยิบสร้างโดยคนอื่น’
และเป็นประเด็นที่น่าตั้งคำถามว่าพื้นที่ต่างๆเหล่านั้นเปิดโอกาสให้กับ
“กะเทย”
ยืนอยู่ร่วมกับสมาชิกทั่วไปในสังคมจริงหรือ
‘กะเทยต้องอยู่อย่างไร้ตัวตน’
หรือไม่
จริงอยู่ว่ามีคุณูปการน่าขอบพระคุณในแง่เปิดโอกาสให้ร่วมทำงานดีกว่าจะผลักให้ไปสู่อาชีพที่ไม่พึงประสงค์ของสังคม
แต่ ‘ตัวตนของกะเทย’
ที่ถูกผลิตสร้างผ่านแผ่นฟิลม์น่าจะเผยให้เห็นการกระทำที่หลักแหลมของ
“กะเทย”
ได้มากกว่านี้และควรก้าวให้ข้ามพ้นความ
‘แปลกที่ตลก’
ไปสู่ความหลากหลายในการแสดงออกโดยเฉพาะอย่างยิ่งควรนำเสนอภาพลักษณ์ที่ไม่หลุดลอยไปจากการวางตัวของ
“กะเทย”ในชีวิตประจำวันท่ามกลางสายตาของคนในสังคม จะได้เห็นความเป็นสามัญชนที่กลมกลืนไม่เด่นเกินจนแปลกแยก
แต่ถ้านำเอาตรรกะของนักวิชาการ
‘สาวใหญ่’
ท่านหนึ่งที่ให้สัมภาษณ์ไว้กับรายการทอล์คโชว์ว่า
“ขอให้รู้ว่ามีเรา”
มาวัดล่ะก็ปรากฎการณ์ทุกวันนี้น่าจะแสดงให้เห็นแล้วว่าบรรลุวัตถุประสงค์
สิ่งที่น่าใส่ใจต่อไปก็คืออะไรที่มาตามกระแสเมื่อถึงจุดหนึ่งต้องเกิดมาตรการมาควบคุม
ในขณะที่ “กะเทย”
ก็ถูกควบคุไม่น้อยอยู่แล้ว
หากสภาวการณ์ปัจจุบันก่อให้เกิดแนวคิดที่จะควบคุมหรือ
‘จัดระเบียบกะเทย’
ขึ้นมาอีกคงจะแย่
ดังนั้นจึงต้องกึ่งเตือนกึ่งวิงวอนสื่อ
โดยเฉพาะ “กะเทย”
ทั้งหลายให้ตรึกตรองให้ดีก่อนที่จะตกลงไปใน
‘หลุมพรางของนายทุนหรือผู้ประกอบการ’
ที่จะใช้ท่านเป็นสินค้าพาไปสู่การได้มาซึ่งผลประโยชน์
ส่งท้ายตรงนี้ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนซึ่ง
“ไม่ได้เป็น”
จะเลือกพูดถึงเรื่องราวของ
“กะเทย”
และไม่ใช่เรื่องที่น่าตัดสินว่าใครจะพูดได้ดีกว่า นั่นเป็นการช่วงชิงความหมายบางประการระหว่างความเป็นคนนอก-คนในซึ่งไม่น่าจะเป็นประเด็นสลักสำคัญอะไรหากข้อมูลจะถูกนำเสนอบนฐานของสำนึกในศักดิ์ศรีความเป็นคนและระมัดระวังการใช้ภาษาให้สื่อความในทางที่ควรโดยปราศจากอคติ
ไม่หยิบใช้ความเป็นตัวตนและการแสดงออกแบบ
“กะเทย”
แล้วเอาไปแฝงไว้กับบทบาท
‘ผู้หญิงดี’
หรือ ‘จับผู้ชายมาแต่งกายเป็นหญิง’
ขายความฮา
งานที่เสนอออกมาก็ไม่น่าจะเกิดช่องว่างทางความเข้าใจต่อกันของคนในสังคม